ทำไมความหอมต้องมาจากฝรั่งเศส ?

ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่ได้รับการยกย่องจากทั่วโลก ให้เป็นประเทศที่มีสถาปัตยกรรมเก่าแก่ อารยะธรรมและวัฒนธรรมที่ผสมผสานสร้างเสน่ห์ดึงดูดใจผู้ที่ได้มาเยี่ยมเยือน อัตลักษณ์ทางภาษาการออกสำเนียงที่ชวนหลงใหล ทั้งยังเป็นผู้นำด้านแฟชั่น และต้นตำรับของความหอมระดับโลก

ต้นกำเนิดน้ำหอม… หากย้อนกลับไปที่ต้นกำเนิดของ “น้ำหอม” ตามหลักฐานที่ค้นพบจากภาพวาดบนกำแพงกว่า 4,000 ปีที่ประเทศอียิปต์ โดยมากนิยมใช้ในการประกอบพิธีทางศาสนาบูชาเทพเจ้า และพิธีศพตามความเชื่อ ส่วนในชีวิตประจำวันก็มีการนำเปลือกไม้, น้ำมัน, หรือยางไม้ ที่มีกลิ่นหอมมาผสมรวมกันและเจือจางด้วยน้ำเพื่อใช้ประทินผิวกาย ส่วนชาวกรีกถือเป็นธรรมเนียมในการนำเครื่องหอมใหม่ ๆ เป็นที่ระลึกเมื่อกลับมาจากต่างแดน ชาวโรมันนิยมใช้น้ำหอมร่วมในการบำบัดรักษาโรค จนถึงชาวอาหรับและเปอร์เซียที่เริ่มมีการคิดค้นเทคนิคชั้นสูงในการผลิตน้ำหอม และทำให้การใช้เครื่องหอม อาทิ กำยาน ได้รับความนิยมในชาวมุสลิม เส้นทางของความหอมยังคงเดินทางผ่านหลายกลุ่มคนหลากหลายเชื้อชาติ วัฒนธรรม มีวิวัฒนาการที่ผสมผสานและการคัดสรรวัตถุดิบ ที่สรรสร้างกลิ่นให้แตกต่างกันตามลักษณะภูมิประเทศ รวมไปถึงเทคโนโลยีสร้างกลิ่นหอมที่ได้รับการพัฒนาตามยุคสมัยเพื่อช่วยให้ความหอมมีความคงทนยิ่งขึ้น

การเดินทางสู่ฝรั่งเศส…

เมื่อความหอมเดินทางเข้าสู่ฝรั่งเศสก็เหมือนกับว่า เส้นทางของพรหมลิขิตที่จะเป็นคู่แท้ระดับโลกได้กำเนิดขึ้นแล้ว เพราะเรื่องกลิ่นหอมในประเทศฝรั่งเศส ได้รับความนิยมทั้งในราชสำนักและกลุ่มขุนนางชั้นสูง เหล่าเครื่องหอมนานาชนิดไม่ได้ถูกนำไปสร้างความหอมตราตรึงเพียงร่างกายเท่านั้น แต่ยังได้ถูกนำไปใช้เพิ่มกลิ่นที่รัญจวนใจให้กับเครื่องใช้ต่างๆ อาทิ เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ตลอดจนเครื่องนอน และเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ

นอกจากนี้ยังมีการผลิตของหอมชนิดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น แป้งหอม เทียนหอม และถุงมือหอมสำหรับใช้ในกลุ่มสังคมชั้นสูงตามมาอีกด้วย แม้ว่าตำนานของความหอมจะดำเนินมากว่าหลายพันปี แต่ประวัติศาสตร์ความหอมระดับโลกในฝรั่งเศสนั้น เริ่มต้นขึ้นที่เมืองกราสส์ (Grasse) เมืองเล็กๆ แห่งนี้ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาที่อุดมไปด้วยสวนดอกไม้ที่เลื่องชื่อเรื่องของความหอมนานาพันธุ์ จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “เมืองหลวงแห่งน้ำหอมของโลก” และอิทธิพลของเมืองกราสส์ที่มีต่อโลกแห่งน้ำหอมนั้นมากล้นไปถึงโลกวรรณกรรม เมืองนี้ได้รับการหยิบยกขึ้นเป็นฉากหลักของนวนิยายของ Patrick Süskind : “ The Perfume” ซึ่งกลายเป็นหนังสือที่มีชื่อเสียงที่สุดในด้านน้ำหอม

ความหอมทรงเสน่ห์สู่พิพิธภัณฑ์มีชีวิต ฝรั่งเศสให้ความสำคัญกับเรื่องของน้ำหอมมาก จนถึงขั้นจัดทำเป็นมิวเซียมน้ำหอมกลางกรุงปารีสกันเลยทีเดียว ชื่อว่า Fragonard Perfume Museum มิวเซียมเล็ก ๆ ซ่อนตัวอยู่หลังร้านน้ำหอมสีทองหรูหราภายใต้แบรนด์สินค้าชื่อเดียวกัน และจัดเป็นน้ำหอมที่มีความเก่าแก่ที่สุดแบรนด์หนึ่งของฝรั่งเศส ภายในมิวเซียมถูกจัดขึ้นเป็นนิทรรศการเกี่ยวกับน้ำหอมที่ถูกสร้างขึ้นในฝรั่งเศสทั้งยุคเก่า กลางและใหม่ ถ่ายทอดเรื่องราวตำนานความหอมระดับโลกผ่าน ”น้ำหอม” ที่วางเรียงรายได้อย่างลงตัวดั่งตัวโน๊ตที่เรียบเรียงเป็นบทเพลงบรรเลงสุดคลาสสิค สำหรับผู้ที่หลงใหลในเรื่องของกลิ่นหอม คงได้ใช้โอกาสนี้ซึมซับศิลปะจากดีไซน์รูปทรงขวดน้ำหอมในยุคต่างๆ ที่งดงามและมีเสน่ห์ รวมถึงกลิ่นหอมที่กำลังส่งกลิ่นเย้ายวนสื่อสารให้ผู้ที่ได้เข้าเยี่ยมชมนั้นมิอาจลืมเลือนเลยก็ว่าได้